
วัดศรีโดมคำ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ทิศใต้และทิศตะวันตกติดกับกว๊านพะเยา เริ่มสร้างพระประธานคือ พระเจ้าตนหลวง เมื่อปี พ.ศ.๒๐๓๔ สมัยพระยายี่เมืองครองเมืองพะเยา สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๐๖๗ ในเวลาต่อมา ล้านนาได้ถูกพม่ารุกราน ต้องอพยพหนีภัยทิ้งเมืองพะเยาเป็นเมืองร้างประมาณ ๕๖ ปี
ในปี พ.ศ.๒๓๘๗ พระยาประเทศอุดรทิศได้ครองเมืองพะเยา และต่อมาเจ้าน้อยมหายศได้เป็นเจ้าเมืองพะเยา จึงมีการบูรณะองค์พระประธาน เริ่มก่อสร้างวิหารและเสนาสนะ ต่อมาวิหารหลังเดิมทรุดโทรม ผู้ปกครองพะเยาได้นิมนต์ครูบาศรีวิชัย มาเป็นประธานการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๕ ได้รื้อวิหารเดิมลง แล้วสร้างขึ้นใหม่
ต่อมาวัดศรีโดมคำได้รับพระราชทานยกฐานะเป็นอารามหลวงชั้นตรี (ประเภทสามัญ) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ และได้มีการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้น เมื่อสร้างเสร็จ ได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙
ในปี พ.ศ.๒๓๘๗ พระยาประเทศอุดรทิศได้ครองเมืองพะเยา และต่อมาเจ้าน้อยมหายศได้เป็นเจ้าเมืองพะเยา จึงมีการบูรณะองค์พระประธาน เริ่มก่อสร้างวิหารและเสนาสนะ ต่อมาวิหารหลังเดิมทรุดโทรม ผู้ปกครองพะเยาได้นิมนต์ครูบาศรีวิชัย มาเป็นประธานการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๕ ได้รื้อวิหารเดิมลง แล้วสร้างขึ้นใหม่
ต่อมาวัดศรีโดมคำได้รับพระราชทานยกฐานะเป็นอารามหลวงชั้นตรี (ประเภทสามัญ) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ และได้มีการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้น เมื่อสร้างเสร็จ ได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙

พระพุทธบาทจำลอง ทำจากหินฐานกว้าง ๙๙ เซนติเมตร ยาว ๑๙๗ เซนติเมตร ส่วนที่เป็นรอยพระพุทธบาท กว้าง ๕๗ เซนติเมตร ยาว ๑๒๙ เซนติเมตร มีลักษณะลวดลายต่าง ๆ เช่น มหาปุริสลักษณะและอนุพยัญชนะ โดยครบถ้วน สลักเป็นลวดลายสวยงาม จัดเป็นปูชนียวัตถุและโบราณวัตถุมาแต่ดั้งเดิม ปัจจุบันประดิษฐานไว้ในวิหาร รอยพระพุทธบาทนี้พบเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๖ จากการรื้อฐานเจดีย์วัดสวยจันทร์ใน เป็นรอยพระพุทธบาทคู่ ลักษณะพระพุทธบาทคือ เอาปลายนิ้วพระบาทขึ้นข้างบน ส้นพระบาทลงล่าง รอยพระพุทธบาทเบื้องซ้ายอยู่ทิศใต้ รอยพระพุทธบาทเบื้องขวาอยู่ทิศเหนือ ตั้งห่างกันประมาณสองศอก
ข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยา ได้มอบรอยพระพุทธบาททั้งสองรอยนี้ให้เจ้าคณะเมือง (จังหวัด) วัดหัวข่วงแก้ว โดยสร้างวิหารหลวงคลุมไว้ ต่อมาวิหารหลวงชำรุดหักพังไป ครูบาศรีวิชัยได้มาสร้างวิหารใหญ่สำหรับพระเจ้าตนหลวง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๕ ต่อมาครูบาศรีวิชัยก็ได้อัญเชิญรอยพระพุทธบาท มาไว้ที่วัดศรีโคมคำ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖ โดยสร้างเป็นวิหารครอบรอยพระพุทธบาท เรียกว่า วิหารพระพุทธบาท

จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ประกอบกับลักษณะแบบแผนขององค์เจดีย์แบบสุโขทัย ทำให้พิจารณาได้ว่าวัดนี้ น่าจะสร้างในสมัยพระยายุทธิษฐิระ เจ้าเมืองพิษณุโลก เมื่อครั้งที่ท่านอพยพมาอยู่ที่ล้านนา และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองพะเยา เมื่อตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑
ภายในวัดมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญคือ
- พระเจดีย์ที่มีลักษณะเป็นศิลปะแบบสุโขทัย
- พระเจดีย์ทรงล้านนา ที่มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
- เนินซากโบราณสถาน จำนวน ๒๕ แห่ง
- ซากแนวกำแพงโบราณสี่แนว

พระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมหนึ่งชั้น ต่อด้วยฐานเขียงย่อมุมสามชั้น ต่อจากนั้นเป็นฐานปัทม์ย่อมุม ต่อด้วยฐานทรงกลมสามชั้น จากนั้นเป็นชั้นมาลัยเถาทรงกลมสามชั้นรองรับองค์ระฆัง ส่วนบัลลังก์มีย่อมุม ส่วนปล้องไฉนมีปูนปั้นบัวสองชั้นประดับอยู่ที่ฐานและยอดของปล้องไฉน จากนั้นขึ้นไปเป็นปลียอดและฉัตร เชื่อกันว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ ที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ถือเป็นปูชนียสถานและโบราณสถานที่สำคัญ คู่บ้านคู่เมืองพะเยามาแต่โบราณ

องค์พระเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม ในชั้นนี้มีเจดีย์รายตั้งอยู่ตรงมุมฐานมุมละองค์ รวมสี่องค์ ต่อด้วยฐานปัทม์ย่อเกล็ดแปดเหลี่ยม มีย่อมุมสองชั้น มีซุ้มจระนำสี่ทิศ ชั้นบนหรือซุ้มเหนือซุ้มจระนำ มีเจดีย์สี่เหลี่ยมรูปทรงปราสาท อยู่อีกสี่ทิศ อยู่บนฐานเดียวกันกับชั้นมาลัยเถาแปดเหลี่ยม รองรับองค์ระฆังแปดเหลี่ยม ต่อด้วยบัลลังก์ย่อมุม ถัดขึ้นไปเป็นคอเจดีย์ ปล้องไฉนและปลียอด
ในส่วนลานประทักษิณ ที่รอบเจดีย์มีขนาดกว้างประมาณ ๑.๕๐ เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีประตูทางเข้าสี่ทิศ แต่ละทิศจะมีปูนปั้นรูปสิงห์ เฝ้าทางเข้าประตูละสองตัว

วิหาร เป็นสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา ที่สวยงามแห่งหนึ่งมีอายุกว่าร้อยปี มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ภายใน เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาวยางไม้ เขียนลงบนกระดาษสาผ้าแปะอยู่บนผนังไม้ เป็นเรื่องมหาชาติชาดก และพุทธประวัติ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๗ เกิดพายุฝนทำให้วิหารพังทะลายลงมาหมด
ปัจจุบันทางวัดได้สร้างวิหารขึ้นใหม่ บนฐานวิหารหลังเดิม ตามลักษณะเดิม แล้วนำภาพจิตรกรรมของเดิมมาติดตั้งเป็นบางส่วน

วัดศรีอุโมงค์คำ ตั้งอยู่ในตำบลหัวเวียง อำเภอเมือง ฯ เป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองพะเยา ที่ตั้งของวิหารและพระเจดีย์อยู่บนเนิน ภายในเนินมีอุโมงค์อยู่ข้างใน เดิมเรียกชื่อว่า วัดอุโมงค์ ปัจจุบันเรียกวัดอุโมงค์คำ แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดสูง ภายในวัดมีวิหารที่สร้างขึ้นใหม่ โดยสร้างอยู่บนฐานเดิม ประดิษฐานพระเจ้าล้านตื้อ หรือหลวงพ่อวัดเมืองเรืองฤทธิ์ และพระเจ้าแข้งคม
พระเจดีย์เป็นศิลปะสมัยเชียงแสน ประกอบด้วยฐานเขียงสี่เหลี่ยมสามชั้น ต่อด้วยเรือนธาตุ ซึ่งเป็นส่วนย่อมุมยืดสูง เป็นรูปแปดเหลี่ยม มีซุ้มจระนำอยู่สี่ทิศ ต่อด้วยชั้นมาลัยเถาแปดเหลี่ยม เป็นฐานบัวทรงกลมซ้อนกันขึ้นไปสามชั้น รองรับองค์ระฆังทรงกลม ต่อด้วยบัลลังก์ ปล้องไฉน เป็นรูปปั้นรูปกลีบบัวสองชั้น และปลียอด

พระเจ้าล้านตื้อ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หลวงพ่องามเมืองเรืองฤทธิ์ เป็นพระประธานในวิหารวัดศรีอุโมงค์คำ เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย มีประวัติว่าเจ้าเมืองพะเยาได้อัญเชิญมาจากวัดร้าง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณสนามเวียงแก้ว เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ที่มีพุทธลักษณะผสมผสาน ระหว่างศิลปะสุโขทัยและศิลปะพะเยา เป็นฝีมือช่างสกุลพะเยาโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามองค์หนึ่งในล้านนา
พระเจ้าแข้งคม เป็นพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีอุโมงค์คำ หน้าตักกว้าง ๑.๓๐ เมตร สูง ๑.๙๐ เมตร การสร้างพระพุทธรูปแบบแข้งคม ที่เกิดขึ้นในล้านนาน่าจะมีที่มาจากพระเจ้าแข้งคม ที่พระเจ้าติโลกราชโปรดให้สร้างขึ้น โดยให้หล่อพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแบบลงปุระ (พระแข้งคม) ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดศรีเกิด จังหวัดเชียงใหม่
วัดพระธาตุแจ้โว้ ตั้งอยู่ในตำบลบ้านถ้ำ อำเภอดอกคำใต้ เป็นวัดโบราณที่อยู่ในเขตเมืองโบราณ ตั้งอยู่บนเนินเขา เรียกว่า เวียงห้าว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมือง เป็นโบราณสถานสำคัญ ที่มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ตามตำนานกล่าวว่า ผู้สร้างคือ ปู่แจ ย่าโว ได้บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้าไว้ในองค์พระธาตุ
พระเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเขียงรูปแปดหลี่ยม ต่อด้วยฐานปัทม์ย่อมุม จากนั้นเป็นชั้นมาลัยเถา รองรับองค์ระฆังรูปแปดเหลี่ยม บัลลังก์ ปล้องไฉน และปลียอด องค์พระธาตุเจดีย์เป็นแบบอย่างสถาปัตยกรรมพื้นเมืองล้านนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลียอดของพระธาตุเจดีย์มีบัวกลุ่ม อันเป็นลักษณะเฉพาะที่พบมากในเมืองเชียงแสน ต่อมาครูบาศรีวิชัยได้บูรณะซ่อมแซมพระธาตุ ให้มีสภาพดีขึ้น
วัดพระธาตุจอมศีล ตั้งอยู่ในเขตอำเภอดอกคำใต้ พระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนเนินเขา เชื่อกันว่าเป็นพระธาตุที่บรรจุพระเกศา และพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในท้องถิ่นแถบนี้ เดิมพระธาตุเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างมานาน ต่อมาพระครูศรีวิราชวชิรปัญญา เจ้าคณะแขวงเมืองพะเยา ร่วมกับพระยาประเทศอุดรทิศ ได้นำชาวบ้านมาบูรณะซ่อมแซม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ ทุกปีจะมีประเพณีสรงน้ำพระธาตุ ในวันมาฆบูชา และวันสงกรานต์
ลักษณะองค์พระธาตุเจดีย์ ประกอบด้วยฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยม ต่อด้วยฐานปัทม์ย่อมุมขึ้นไปถึงชั้นมาลัยเถารูปแปดเหลี่ยม รองรับองค์ระฆังทรงกลมต่อด้วยบัลลังก์ ถัดขึ้นไปมีบัวกลุ่มที่ปล้องไฉน ต่อด้วยปลียอด จะเห็นได้ว่ารูปทรงของพระธาตุเจดีย์คล้ายกับพระเจดีย์วัดลี มีลักษณะเอวคอด และรูปทรงสูง

วัดพระธาตุศรีปิงเมือง ตั้งอยู่ในตำบลลอ อำเภอจุน ยังไม่พบหลักฐานว่า พระธาตุศรีปิงเมืองสร้างเมื่อใด เมื่อพิจารณารูปแบบทางสถาปัตยกรรมแล้ว น่าจะสร้างเในช่วงพุทธศตรรษที่ ๒๑ ในช่วงนั้นเมืองพะเยา เป็นเมืองที่มีความสัมพันธ์กับล้านนา พระธาตุตั้งอยู่ใกล้เมืองโบราณที่เรียกว่า เวียงลอเป็นพระธาตุที่มีความสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเวียงลอ
องค์พระธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมต่อด้วยฐานปัทม์ ย่อมุมขึ้นไปเป็นฐานลูกฟักทรงกลม ถัดขึ้นไปเป็นมาลัยเถาทรงกลม รองรับองค์ระฆังกลม เป็นศิลปะเชียงใหม่ตอนต้น
วัดพระธาตุดอยหยวก ตั้งอยู่ในตำบลปง อำเภอปง ตั้งอยู่บนภูเขาเตี้ย ๆ ตามตำนานกล่าวว่าในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงดอยภูเติม พญานาคที่รักษาดอยนี้อยู่แลเห็นพระพุทธเจ้า คิดว่าเป็นพญาครุฑก็แทรกกายหนี ต่อมาได้ทราบและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จึงเกิดความเลื่อมใส พระพุทธองค์จึงมอบพระเกศาให้และตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว ให้เอากระดูกริมตาขวามารวมไว้กับพระเกศา กาลข้างหน้าจะมีชื่อว่า พระธาตุภูเติม จึงได้บรรจุและสร้างพระธาตุขึ้น ณ ดอยแห่งนี้มีชื่อเรียกใหม่ว่า พระธาตุดอยหยวก
ภายในวัดมีวิหารพื้นเมืองทรงต่ำแบบพื้นเมืองล้านนา ส่วนพระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยม ต่อด้วยเรือนธาตุซึ่งเป็นส่วนย่อมุมยืดสูง เป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีซุ้มจระนำอยู่สี่ทิศ ถัดขึ้นไปเป็นมาลัยเถารองรับองค์ระฆังทรงกลม ขึ้นไปเป็นบัลลังก์ต่อด้วยปล้องไฉน จนถึงปลียอดเป็นเจดีย์ทรงล้านนาที่สวยงาม ที่เป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะพะเยา
องค์พระธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยมต่อด้วยฐานปัทม์ ย่อมุมขึ้นไปเป็นฐานลูกฟักทรงกลม ถัดขึ้นไปเป็นมาลัยเถาทรงกลม รองรับองค์ระฆังกลม เป็นศิลปะเชียงใหม่ตอนต้น
วัดพระธาตุดอยหยวก ตั้งอยู่ในตำบลปง อำเภอปง ตั้งอยู่บนภูเขาเตี้ย ๆ ตามตำนานกล่าวว่าในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงดอยภูเติม พญานาคที่รักษาดอยนี้อยู่แลเห็นพระพุทธเจ้า คิดว่าเป็นพญาครุฑก็แทรกกายหนี ต่อมาได้ทราบและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จึงเกิดความเลื่อมใส พระพุทธองค์จึงมอบพระเกศาให้และตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว ให้เอากระดูกริมตาขวามารวมไว้กับพระเกศา กาลข้างหน้าจะมีชื่อว่า พระธาตุภูเติม จึงได้บรรจุและสร้างพระธาตุขึ้น ณ ดอยแห่งนี้มีชื่อเรียกใหม่ว่า พระธาตุดอยหยวก
ภายในวัดมีวิหารพื้นเมืองทรงต่ำแบบพื้นเมืองล้านนา ส่วนพระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยม ต่อด้วยเรือนธาตุซึ่งเป็นส่วนย่อมุมยืดสูง เป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีซุ้มจระนำอยู่สี่ทิศ ถัดขึ้นไปเป็นมาลัยเถารองรับองค์ระฆังทรงกลม ขึ้นไปเป็นบัลลังก์ต่อด้วยปล้องไฉน จนถึงปลียอดเป็นเจดีย์ทรงล้านนาที่สวยงาม ที่เป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะพะเยา

พระเจดีย์มีรูปทรงแบบสถาปัตยกรรมพื้นเมืองล้านนา เป็นเจดีย์ทรงสูงเอวคอด ฐานกว้าง ๑๖.๕๐ เมตร สูง ๓๕ เมตร ส่วนฐานประกอบด้วยหน้ากระดานสี่เหลี่ยม หนึ่งชั้น ต่อขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานแปดเหลี่ยมสามชั้น ต่อด้วยเรือนธาตุซึ่งเป็นส่วนย่อมุมยืดสูง เป็นรูปแปดเหลี่ยม มีลวดลายปูนปั้นอยู่กลางเรือนธาตุ เป็นลายประจำยามประดับอยู่ และมีการประดับลวดลายปูนปั้น บริเวณมุมของเจดีย์จนถึงบัวหงาย ด้านบนของฐานปัทม์ต่อด้วยชั้นมาลัยเป็นฐานบัวแปดเหลี่ยม ซ้อนกันขึ้นไปรองรับองค์ระฆังแปดเหลี่ยม แล้วเป็นชั้นบัลลังก์แปดเหลี่ยม ต่อด้วยคอระฆังกลมขึ้นไปเป็นปล้องไฉน ที่ฐานและยอดปล้องไฉนมีปูนปั้นกลีบดอกบัว สองชั้น ต่อด้วยปลียอดรูปทรงกลม เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะสวยงามอีกแห่งหนึ่งในพะเยา
วัดร้างประตูชัย หรือวัดพระเจ้ายั้งย่อง ตั้งอยู่ใกล้สี่แยกประตูชัย ในตำบล อำเภอเมือง ฯ สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เป็นวัดที่อยู่ปากทางเข้าเมือง ในสมัยก่อนเมื่อจะยกทัพออกจากเมือง ก็จะออกทางประตูชัยนี้ เพื่อถือเป็นเคล็ดให้รบชนะ โดยจะมีการทำพิธีกรรม และพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นกำลังใจในการสู้รบ
วัดนี้เดิมมีบริเวณกว้างขวางหลายสิบไร่ มีบ่อน้ำ คูเมืองมีน้ำไหลตลอดปี มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ต่อมาวัดนี้ได้ชื่อใหม่ ตามที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดยั้งย่อง
วัดนี้สันนิษฐานว่า เดิมคงเป็นวัดหลวง ที่สำคัญวัดหนึ่งของเมืองพะเยา พระประธานเป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ อยู่ในวิหาร มีเนินเจดีย์ เนินซากโบราณสถานสองเนิน
วัดรัตนคูหาวราราม (วัดบ้านถ้ำ) ตั้งอยู่ในตำบลถ้ำ อำเภอดอกคำใต้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ทราบแต่เพียงว่าวัดแห่งนี้มีมาก่อนหมู่บ้าน ซึ่งตั้งเมื่อปี พ.ศ.๑๔๐๐ แล้วมีการบูรณะวัดบ้านถ้ำขึ้นในปี พ.ศ.๑๔๖๐ และตั้งชื่อใหม่ว่า วัดช้างแก้ว วัดนี้ได้ร้างไป ๕๐ ปี แล้วได้มีการบูรณะเจดีย์และเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดบ้านถ้ำ ตามเดิม
พระเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเขียงซ้อนกันสามชั้น ต่อขึ้นไปเป็นฐานปัทม์แปดเหลี่ยม ถัดขึ้นไปเป็นมาลัยเถารูปแปดเหลี่ยม ซ้อนกันขึ้นไปสามชั้น รองรับองค์ระฆังทรงเหลี่ยมเป็นแบบจำปาแปดกลีบ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสกุลช่างพะเยา ด้านบนเป็นปูนปั้นกลีบบัวสองชั้นครอบลงมา ต่อด้วยบัลลังก์แปดเหลี่ยม ปล้องไฉน มีปูนปั้นบัวหงาย รองรับปลียอด นับว่าเป็นเจดีย์ศิลปะปูนปั้นสกุลช่างพะเยา ที่สวยงามแห่งหนึ่ง
วัดพระธาตุดอยคำ ตั้งอยู่ในตำบลเจดีย์คำ อำเภอเชียงคำ มีตำนานว่า มีหญิงม่ายคนหนึ่งพบทองคำแท่งใหญ่ วางยาวอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก หันท้ายจรดภูเขา จึงนำชาวบ้านไปดู ต่อมาเมื่อพญาผู้ครองเมืองได้ทราบข่าว ก็มีความโลภ จึงสั่งให้ตัดแท่งทองคำนั้น เมื่อตัดแล้วทองคำก็แยกหายไปในดอย แล้วปรากฎเป็นพระเจดีย์ซึ่งมีพระธาตุบรรจุอยู่ ภายใน ชาวบ้านจึงเรียกวา พระธาตุดอยคำ แต่นั้น


วัดพระธาตุเจดีย์จอมก๊อ ตั้งอยู่ในตำบลเจริญราษฎร อำเภอแม่ใจ พระธาตุเจดีย์จอมก๊อ เป็นเจดีย์ทรงล้านนาที่สวยงามอีกองค์หนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
องค์พระธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม ในชั้นนี้มีเจดีย์รายตั้งอยู่ตรงมุมของฐานสี่องค์ ต่อขึ้นไปเป็นฐานเขียงรูปแปดเหลี่ยมสามชั้น จากนั้นเป็นเรือนธาตุรูปแปดเหลี่ยม ต่อด้วยมาลัยเถารูปแปดเหลี่ยม รองรับองค์ระฆังทรงกลม ต่อด้วยคอระฆังกลม ปล้องไฉน และปลียอด
วัดพระธาตุภูขวาง ตั้งอยู่ในตำบลห้วยแก้ว กิ่งอำเภอภูกามยาว ตั้งอยู่กลางเมืองโบราณ เวียงพระธาตุภูขวาง เชื่อกันว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุข้อมือขวาของพระพุทธเจ้า
พระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานกระดานสี่เหลี่ยมย่อมุมสี่ชั้น ต่อด้วยเรือนธาตุย่อมุม ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียงรูปทรงกลมสามชั้น รองรับองค์ระฆังกลม ไม่มีบัลลังก์ ต่อด้วยคอระฆังทรงกลม ปล้องไฉน ซึ่งมีรูปปั้นเป็นรูปกลีบบัวสองชั้น ถัดขึ้นไปเป็นปลียอด

จากคำบอกเล่าของชาวบ้านอำเภอแม่ใจ มีความว่า แต่เดิมนั้นบริเวณบ้านแม่ใจ โดยทั่วไปเต็มไปด้วยป่าไม้กอไผ่ขึ้นหนาทึบ และได้เกิดไฟลุกไหม้บริเวณรอบ ๆ ดงไผ่ จึงได้พบพระเจ้าทองทิพย์อยู่ในดงไผ่นั้น ต่อมาจึงได้สร้างอาคารชั่วคราวครอบไว้ ต่อมาชาวอำเภอแม่ใจได้ร่วมกันสร้างวิหารถาวรครอบไว้ ในบริเวณดงกอไผ่ โดยไม่โยกย้ายจากที่เดิมจนถึงปัจจุบัน
ความเชื่อถือความศักดิ์สิทธิ์และที่มาของชื่อพระเจ้าทองทิพย์นั้น เพราะว่าเมื่อฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองแห้งแล้ง หรือชาวบ้านเกิดการเจ็บป่วย เกิดภัยพิบัติ ก็จะอัญเชิญพระเจ้าทองทิพย์จากอาสนะ ทำพิธีสักการะบูชา แห่สรงน้ำ ฝนก็จะตกลงมาทันที ผู้ประสบเคราะห์กรรมก็จะหมดเคราะห์ พระเจ้าทองทิพย์ จึงเป็นที่เคารพสักการะของชาวพุทธตลอดมา
ในวันที่ ๑๗ เมษายนของทุกปี จะเป็นวันสรงน้ำพระเจ้าทองทิพย์ ประชาชนจะพากันมาร่วมพิธีในวันสำคัญนี้มากมาย แล้วนำเอาน้ำที่สรงพระเจ้าทองทิพย์ แล้วใส่ภาชนะกลับไปบ้านเพื่อประพรมลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข
วัดศรีบุญเรือง อยู่ในเขตอำเภอแม่ใจ เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าองค์ดำ พระพุทธรูปสำริดมีผิวสีดำ พบโดยพ่อหนานใจวรรณจักร ขณะที่เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธาราม ตำบลศรีก้อย อำเภอแม่ใจ ท่านได้พบพระพุทธรูปองค์นี้ที่บริเวณบ้านดงอินตา และบ้านดงบุนนาคปัจจุบัน ซึ่งเป็นบริเวณหนองเล็งทรายทั้งหมด ท่านจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดโพธาราม ต่อมาท่านได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง (วัดขัวตาด) ซึ่งเป็นวัดร้าง พ่อหนานใจ และชาวบ้านได้ร่วมบูรณะซ่อมแซม และอัญเชิญพระเจ้าองค์ดำไปประดิษฐานที่วัดศรีบุญเรืองจนถึงปัจจุบัน
ในวันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนเจ็ด (เดือนเก้าเหนือ) ของทุกปี จะมีงานประเพณีสรงน้ำพระเจ้าองค์ดำ มีประชาชนไปร่วมพิธีนี้เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่าในปีใดที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านจะอัญเชิญพระเจ้าองค์ดำลงจากอาสนะเพื่อทำพิธีขอฝน
วัดดงบุนนาค ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเหล่า อำเภอแม่ใจ เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าหินทิพย์ พระพุทธรูปหินทราย ฝีมือช่างพะเยา หน้าตักกว้าง ๗๒ นิ้ว สูง ๙๙ นิ้ว ศิลปะเชียงแสนรุ่นที่สอง
จากประวัติที่ผู้รู้ให้ไว้มีว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๐๑๐ แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดก๋อมก๊อ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านดงบุนนาค ปัจจุบันสภาพที่พบเห็นก่อนนั้นมีแต่องค์พระตั้งอยู่บนแท่นกลางแจ้ง เพราะเสนาสนะสิ่งปลูกสร้างหักพังสูญหายไปหมด
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๒ ทางวัดดงบุนนาค อำเภอและชาวบ้านได้อัญเชิญพระเจ้าหินทิพย์มาประดิษฐานที่วัดดงบุนนาค
พระเจ้านั่งดิน อยู่ในอำเภอเชียงคำ ตามตำนานเล่าว่า พญาผู้ครองเมืองพุทธรสะได้ค้นพบประวัติเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๖ ว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกโปรดสัตว์ เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงเวียงพุทธรสะ (อำเภอเชียงคำ) พระพุทธองค์ได้เสด็จประทับอยู่บนยอดดอยสิงห์กุตตะ (พระธาตุดอยคำ) พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งพญาคำแดง เจ้าเมืองพุทธรสะ ให้สร้างรูปเหมือนพระองค์ไว้ ณ เมืองพุทธรสะนี้ ปรากฏว่า พระอินทร์ พญานาค ฤาษีสองตน พระอรหันต์สี่รูป ช่วยกันเนรมิตเอาดินศักดิ์สิทธิ์ จากเมืองลังกาทวีปมาสร้างรูปเหมือนพระพุทธองค์ ใช้เวลาสร้างหนึ่งเดือน เจ็ดวัน จึงแล้วเสร็จ
พระเจ้านั่งดินไม่ได้ประทับบนฐานชุกชีเหมือนกับพระพุทธรูปในอุโบสถวัดอื่น ๆ มีผู้เล่าว่าเคยมีชาวบ้านสร้างฐานชุกชี แล้วอัญเชิญพระเจ้านั่งดินขึ้นประทับ แต่มีเหตุปาฏิหาริย์ฟ้าผ่าลงมาที่อุโบสถถึงสามครั้ง พุทธบริษัททั้งหลายจึงอาราธนาลงมาประดิษฐานบนพื้นดินดังเดิมจนถึงทุกวันนี้
พระเจ้าหิน (พระเจ้าบุนนาค) เป็นพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ประดิษฐานอยู่ที่วัดบุนนาค ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ หน้าตักกว้าง ๑.๖๒ เมตร สูง ๒.๖๔ เมตร องค์พระมีลักษณะสวยงามมาก ได้มาจากวัดร้างในเวียงลอ อำเภอจุน
หลักฐานด้านโบราณคดีได้พบจารึกหมื่นลอมงคล ตรงกับปี พ.ศ.๒๐๔๓ ที่กล่าวถึงการสร้างพระเจดีย์และพระพุทธรูปจำนวนมากเพื่ออุทิศให้กับพระศาสนา
พระเจ้าหินเป็นพระพุทธรูปที่ชาวเชียงคำและใกล้เคียงเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ได้มีการจัดงานประเพณีนมัสการพระเจ้าหินเป็นประจำทุกปีในวันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนสาม (เดือนห้าเหนือ) ตรงกับวันมาฆบูชา
พระเจ้ายั้งยอง เป็นพระพุทธรูปหินทราย หน้าตักกว้าง ๒.๐๐ เมตร สูง ๓.๒๒ เมตร ประดิษฐานอยู่ที่วัดร้างประตูชัย หรือวัดพระเจ้ายั้งยอง ตำบลเวียง อำเภอเมือง ฯ
พระเจ้ายั้งยองเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด ประทับนั่งขัดสมาธิราบแบบปัทมาสนะ ปางมารวิชัย ศิลปะช่างสกุลพะเยา มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับเมืองพะเยามาแต่โบราณ ประดิษฐานอยู่ใกล้ประตูชัยสมัยก่อน เมื่อจะออกไปปราบข้าศึกศัตรู จะต้องยกกำลังออกทางประตูชัย จะมีการตั้งเครื่องสักการะบูชาพระเจ้ายั้งยองเพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อเสร็จการรบแล้วก็จะมาสักการะพระเจ้ายั้งยองอีกครั้ง เพราะก่อนเข้าเมืองจะต้องเข้าทางประตูชัย



กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔